การเสริมคางจะนำมาสริมในกลุ่มคนที่มีโครงหน้าส่วนล่างมีความผิดปกติ ปัญหานี้ไม่ค่อยพบในคนไทย เนื่องจากคนไทยมักจะมีคางเป็นรูปป้าน เหลี่ยมแบน
แต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่นิยมคางแบบเล็ก เรียว แหลมได้รูป จึงทำให้เกิดความนิยมเสริมคางทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ผู้ที่เหมาะต่อการทำศัลยกรรมคาง
ต้องมีโครงสร้างส่วนของฟันและกรามที่ความแข็งแรง และทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการอักเสบหรือติดเชื้อในภายหลัง
การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการศัลยกรรมเสริมคาง
1. กินอาหารให้พออิ่ม และดื่มน้ำมาก ๆ ก่อนเข้ารับการศัลยกรรม
2. แปรงฟัน บ้วนปากให้สะอาด ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
3. งดอาหารเสริมหรือยา ที่มีคุณสมบัติเรื่องการแข็งตัวของเลือด
ขั้นตอนการศัลยกรรมเสริมคาง
ในการทำศัลยกรรมเสริมคางใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที หรืออาจใช้เวลามากกว่านั้น หากต้องการศัลยกรรมส่วนอื่นบนใบหน้าด้วย
1. แพทย์จะให้ยาสลบแก่ผู้ป่วย
2. นำซิลิโคนแท่ง ลักษณะคล้ายยางที่มีความยืดหยุ่น มาเหลาให้ได้รูปทรงที่พอดีกับคางของแต่ละคน
3. ศัลยแพทย์จะทำการเปิดผิวบริเวณด้านในของริมฝีปากล่าง ตั้งแต่ส่วนของเหงือกลงไปจนถึงส่วนของกระดูกคางด้านหน้า และทำการฝังและยึดซิลิโคนลงในตำแหน่งที่ได้วัดระยะไว้แล้ว
4. จากนั้นจึงเย็บปิดแผลด้วยไหมละลาย
**แต่หากเป็นกรณีที่ทำการเสริมคางไปพร้อม ๆ กับศัลยกรรมยกกระชับใบหน้า แพทย์จะสร้างรอยผ่าตัดที่บริเวณใต้คางเพื่อความสะดวกต่อการศัลยกรรมทั้งสองชนิด ซึ่งรอยแผลที่อยู่บริเวณนี้ก็สามารถซ่อนตัวจากสายตาได้เป็นอย่างดี
ความเสี่ยงในการศัลยกรรมเสริมคาง
1. บริเวณคางและบริเวณรอบๆ จะมีอาการบวม เจ็บ
2. ซิลิโคนบริเวณคางอาจเลื่อนได้ หากเกิดการกระทบกระเทือนที่บริเวณใบหน้า
3. แผลผ่าตัดอาจเกิดการติดเชื้อ หากดูแลแผลไม่สะอาด
4. การรับความรู้สึกที่บริเวณคางเปลี่ยนไป อาจเป็นได้ทั้งเพียงชั่วคราว หรือเกิดขึ้นถาวร
การพักฟื้นหลังการทำศัลยกรรมเสริมคาง
- ผู้ป่วยต้องกินอาหารเหลวหรืออาหารอ่อนที่ไม่ต้องเคี้ยวมาก เพื่อลดการกระทบกระเทือนของบาดแผล
- ผู้ป่วยต้องบ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก หรือน้ำเกลือทุกครั้งหลังกินอาหาร เพื่อไม่ให้แผลติดเชื้อ
- หลังการผ่าตัดให้ผู้ป่วยนอนในท่ายกศีรษะสูง
- หากมีอาการปวดมากผิดปกติให้ไปพบแพทย์
- งดกิจกรรมหรือเคลื่อนไหวร่างกายที่ก่อให้เกิดการกระทบกระเทือนที่บริเวณใบหน้า
- หากมีอาการปวดมากผิดปกติให้ไปพบแพทย์
ขอบคุณข้อมูล..
Asiaclinic

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น